วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความหมายเรื่องฤกษ์ในดวงแบบไทยที่ควรรู้

เรื่องฤกษ์ ภาษาที่ใช้ในดวงฤกษ์ไทยที่เราควรทราบ เพราะเรายู่ในสังคมไทย ที่มีการใช้ฤหษ์ยามมาฃ้านาน การวางฤกษ์บางครั้งไปชนเข้ากับวันที่ไม่ดี
ในปฏิทินโหราศาสตร์ไทย จะทำให้คนอื่นเขานินทาว่าเราไม่รู้เรื่องเอาได้ ดังนั้นการเป็นนักโหราศาสตร์หรือผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ตลอกจนเขาเรียกว่าผู้รู้
ก็ดี ควรที่จะรับรู้ไว้บ้าง ดังนี้
1.ฤกษ์บนฤกษ์ล่าง
ฤกษ์บนคือการโคจรของดาวบนท้องฟ้าถือเวลาเป็นหลัก แล้วนำมาผูกดวงชะตา
ฤกษ์ล่างคือการใช้วันทั้ง7และดิถีข้างขึ้นและข้างแรม เดือน ปีเป็นหลักกำหนดนับเช่นวันฟู วันจม วันลอย กทิงวัน ทักทิน วันอุบาทว์ โลกาวินาศวันขลุบ
ยมขันธ์ ธงชัย อธิบดี ดิถีพิฆาต ดิถีฤกษ์ชัย ดิถีมหาสูญ วันดับ วันภาณฤกษ์ อัคนิโรธ
2.ฤกษ์บนเรือนหรือนพดลมี9ฤกษ์คือ1.ทลิทโท 2.มหัทธโน 3.โจโร 4.ภูมิปโล 5.เทศาตรี 6.เทวี 7.เพรชฆาต 8.ราชา 9.สมโณ
3.บาทฤกษ์คือดาวพระเคระห์ประจำเกษตรนวางค์ มี4 บาทคือ1.ปฐมบาท 2.ทุติยะบาท 3.ตตืยะบาท 4.จตุตถะบาท ระวังฤกษ์แตก นวางค์ขาด นวางค์ต้องห้ามที่อาจจะก่อให้เกิดเหตุไม่ดี ในการวางฤกษ์
4.ฤกษ์ออกสำหรับเดินทาง กกษ์เข้า ปลูกเรือน โกนจุก ซ่อนหรือเก็บสิ่งของมีค่า ฤกษ์ปิด ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ทำวิชาไสยศาสตร์ ตีอาวุธ
5.ข้อห้ามในการกระทำใดๆในวันดังนี้
เผาผีวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ สงฆ์14ค่ำ เผาผี15ค่ำ นารี 11ค่ำ สมรส 7ค่ำ วันพระเคราะห์ยกหรือย้ายราศีเข้าอีกราศีตรง0องศา
วันสุริยคราศและวันจันทรคราส ห้ามทั้งเดือน

รับสมัครนักศึกษาโหราศาสตร์สากล-ยูเเนียน

ในปี2554 ทางชมรมskyclock จะเปิดรับสมัครนักศึกษาโหราศาสตร์สากล-ยูเรเนียน ผู้มีดวงถึง ดังนี้
1.วิชาโหราศาสตร์สากล(Sayana or Western astrology) หลักสูตรพื้นฐาน สำหรับผู้ที่ไมเคยเรียนโหราศาสตร์มาก่อน
2.วิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียน พระเคราะห์สนธิและเรือนชะตายูเรเนียน ขั้นพื้นฐาน
3.วิชาโหราศาสตร์เชิงปฏิบัตรการและวิธีจานคำนวณ2ชั้น เหมาะกับผู้ี่มีพื้นฐานทั้งสากลและยูเรเนียน
4.โหราศาสตร์กาลชะตาและการวางฤกษ์(Horary Astrology and Election)
สนใจหลักสูตรติดต่อที่Songyos27@Gmail.com ,songyos@hotmail.com
ถ้าท่านมาสมัครครบ5คน จะเปิดสอนทันที รับเป็นกลุ่ม และส่วนบุคคล โปรดติดต่อเพื่อสัมภาษณ์ก่อนเรียน
หรือท่านส่งวันเดือนปีเกิดเวลาตกฟาก เพื่อจะตรวจสอบว่า ท่านมีดวงเรียนโหราศาสตร์หรือไม่และปีนี้ดวงถึงที่ได้เรียนหรือไม่

ปฏิทินจัทรคติไทย

ปฏิทินจันทรคติไทย คือ ปฏิทินที่นับตามคติการโคจรของดวงจันทร์ โดยหมายดูจากปรากฏการณ์ข้างขึ้นข้างแรม สำหรับปฏิทินจันทรคติ ของไทย จะมีด้วยกัน 2 แบบ ดังนี้

ปฏิทินจันทรคติราชการ หรือปฏิทินหลวง เป็นแบบที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิม อาศัยการกำหนดรูปแบบปีทางจันทรคติ อย่างไรก็ตาม หลักการคำนวณหารูปแบบปีจันทรคติ ยังไม่มีการสรุปเป็นสูตรที่ตายตัวแน่ชัด ใช้เป็นปฏิทินจันทรคติราชการทั่วไป ตลอดจน พระสงฆ์ไทยคณะมหานิกาย
ปฏิทินจันทรคติปักขคณนา เป็นแบบที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ทรงประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ มีสูตรคำนวณที่แน่ชัด และมีความแม่นยำตามธรรมชาติกว่าแบบราชการอยู่มาก และให้ทรงนำมาใช้ในพระสงฆ์ไทย คณะธรรมยุตินิกาย
การนับช่วงเวลา
การนับช่วงเวลาในปฏิทินจันทรคติไทย เป็นการนับโดยถือเอาการเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์เป็นหลัก ดังนี้

คืนเดือนดับ จะสังเกตไม่เห็นดวงจันทร์
คืนข้างขึ้น จะสังเกตเห็นดวงจันทร์เป็นรูปเสี้ยวนิดเกียวแล้วค่อยๆ โตขึ้นในแต่ละวันจนเต็มดวง
คืนเดือนเพ็ญ จะสังเกตเห็นดวงจันทร์สว่างเต็มดวง
คืนข้างแรม จะสังเกตเห็นดวงจันทร์ค่อยๆ แหว่งเป็นรูปเสี้ยวเล็กลงๆ จนในที่สุดดวงจันทร์ก็มืดทั้งดวง
การอ่านวันตามแบบจันทรคติจะอ่านเป็นตัวเลขโดยเริ่มที่วันอาทิตย์เป็นหนึ่ง และนับต่อไปตามลำดับจนถึงวันเสาร์นับเป็นเจ็ด และมีการกำหนดดิถีดวงจันทร์และตัวเลขเดือนกำกับอย่างย่อ โดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวเลข ดังตัวอย่าง ๖ ๓ฯ ๓ อ่านว่า วันศุกร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3

การนับวันทางจันทรคติ เริ่มนับวันขึ้น 1 ค่ำ จนถึงขึ้น 15 ค่ำ แล้วจึงขึ้นวันแรม 1 ค่ำ ถึงวันแรม 14 ค่ำ ในเดือนคี่ และวันแรม 15 ค่ำ ในเดือนคู่ จึงทำให้เดือนคี่มี 29 วัน เดือนคู่มี 30 วัน การนับเดือนทางจันทรคติ เริ่มต้นนับเดือนธันวาคมเป็นเดือน 1 เรียกว่าเดือนอ้าย มกราคมเป็นเดือนที่ 2 เรียกว่า เดือนยี่ และนับเดือน 3 เดือน 4 ไปจนถึงเดือน 12 ยกเว้นเขตภาคเหนือตอนบน หรือดินแดนล้านนาเดิม ที่มีการนับเดือนเร็วกว่า 2 เดือน กล่าวคือ ในวันลอยกระทง ตรงกับเดือน 12 ใต้ และตรงกับเดือน 2 เหนือ (12, 1, 2) ส่วนวันมาฆบูชา ตรงกับเดือน 3 ใต้ และ เดือน 5 เหนือ

การนับปีทางจันทรคติ นับตามเวลาการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก 1 รอบ ใช้เวลา 29 วันครึ่งในเวลา 1 เดือน ถ้านับ 29 วัน เวลาจะขาดไป 12 ชั่วโมง แต่ถ้านับ 30 วัน เวลาจะเกินไป 12 ชั่วโมง จึงต้องนับ 59 วัน เป็น 2 เดือน โดยให้นับเดือนคี่มี 29 วัน และเดือนคู่มี 30 วัน โดยเดือนคี่เป็นเดือนต้น เดือนคู่เป็นเดือนรองถัดไป สลับจนครบ 12 เดือน แล้วเริ่มต้นใหม่ ถ้านับวันปีทางจันทรคติจะมีเพียง 354 วัน ซึ่งมีวันน้อยกว่าปีทางสุริยคติถึง 11 วันต่อปี เมื่อรวม 3 ปี จะได้ 33 วัน ดังนั้นในทุกๆ 3 ปีทางจันทรคติ จะมีเดือน 8 สองหน คือจะมี 13 เดือน เรียกปีนั้นว่า ปีอธิกมาส
นอกจากความเข้าใจผิดในการอ่านปฏิทินไทยที่ได้ยกตัวอย่างมาแล้ว ปฏิทินไทยมีความคลาดเคลื่อน 2 ส่วน คือ ส่วนการทดวัน (ทางปฏิทิน) ซึ่งมีค่าได้ถึง 0.5วัน โดยเฉพาะในเดือน 6 ของปีอธิกวารเป็นช่วงที่รอทดวัน กับส่วนความเป็นวงรีของ วงโคจรของดวงจันทร์รอบโลก (ทางดาราศาสตร์) ซึ่งมีค่าได้ถึง 0.65วัน อีกส่วนหนึ่ง

[แก้] การสังเกตดวงจันทร์อย่างง่าย
วันจันทร์เพ็ญ

วันจันทร์เพ็ญอาจเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ หรือแรม 1 ค่ำก็ได้ ผู้ที่เคยสังเกตดวงจันทร์จะทราบดีว่า เป็นการยากมากที่จะบอกได้ว่า วันไหนเป็นวันเพ็ญ เพราะมักจะเห็นว่าเต็มดวงอยู่ 2 วัน บางท่านอาจเห็น 4 วัน ต้องใช้รูปถ่ายที่ขยายแล้วนำมาเทียบกัน ผู้เขียนแนะนำการดูจันทร์เพ็ญอย่างง่าย ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทย ให้ดูเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก ดังนี้

1.ถ้าคืนนั้นเป็นจันทร์เพ็ญ จะเห็นดวงจันทร์กำลังขึ้นพอดี อยู่ฝั่งตรงข้ามกับดวงอาทิตย์

2.ถ้าดวงจันทร์อยู่สูงเกิน 7 องศา แสดงว่ายังไม่ถึงวันจันทร์เพ็ญ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าดวงจันทร์ด้านล่างยังแหว่งอยู่ เป็นข้างขึ้น เช่น ขึ้น 14 ค่ำ (หรืออาจเป็นขึ้น 15 ค่ำก็ได้ในบางเดือน)

3.ถ้าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วราว 1/2 ชั่วโมง แต่ดวงจันทร์ยังไม่ขึ้นเลย และเมื่อดวงจันทร์ขึ้นแล้วให้สังเกตว่า ดวงจันทร์ด้านบนจะแหว่งไปเล็กน้อย กรณีนี้เป็นแรม 1 - 2 ค่ำ

วันจันทร์ดับอย่างง่าย

วันจันทร์ดับอาจเป็นวันแรม 14-15 ค่ำ หรือขึ้น 1 ค่ำก็ได้ (มีโอกาส ราว 50%) ผู้เขียนแนะนำการดูจันทร์เพ็ญดับอย่างง่าย ในเขตร้อน เช่น ประเทศไทย ให้ดูเวลาที่ดวงอาทิตย์ตก ดังนี้

1.ถ้าคืนนั้นดวงจันทร์ยังไม่ดับ จะไม่เห็นดวงจันทร์เลย เพราะดวงจันทร์ตกขอบฟ้าไปก่อนดวงอาทิตย์ เช่น วันแรม 13-14-15 ค่ำ

2.ถ้าคืนนั้นเป็นคืนจันทร์ดับพอดี อาจไม่เห็นดวงจันทร์ก็ได้ เพราะดวงจันทร์จะตกไล่เลี่ยกับดวงอาทิตย์ คือตกก่อนหรือหลังดวงอาทิตย์ไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง เช่น แรม 14-15 ค่ำ ขึ้น 1 ค่ำ

3.ถ้าคืนนั้นเป็นคืน New Moon คือ คืนถัดจากคืนจันทร์ดับ จะเห็นดวงจันทร์เป็นเสี้ยวบางๆ หงายท้อง และตกตามหลังดวงอาทิตย์ไป ราว 1/2 ชั่วโมง เช่น ขึ้น 2 ค่ำ อาจเป็นขึ้น 1 ค่ำก็ได้ ในบางเดือน)


วันจันทร์ครึ่งดวง

รูปร่างดวงจันทร์ครึ่งดวงสังเกตได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตามหากต้องดูให้ละเอียดขึ้น ให้สังเกตดังนี้ 1.การสังเกตดวงจันทร์ครึ่งดวงข้างขึ้น ให้ดูตอนที่ดวงอาทิตย์ตก ดวงจันทร์จะอยู่กลางฟ้า (ทางทิศใต้) พอดี ส่วนมากเป็นวันขึ้น 8 ค่ำ แต่อาจเป็นขึ้น 7 ค่ำก็ได้

2.การสังเกตดวงจันทร์ครึ่งดวงข้างแรม ให้ดูในตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงจันทร์จะอยู่กลางฟ้า (ทางทิศใต้) พอดี ส่วนมากตรงกับวันแรม 8 ค่ำ แต่อาจเป็นแรม 7 ค่ำก็ได้


การดูจันทร์ดับ/เพ็ญจากอุปราคา จันทรุปราคา จะเกิดในคืนจันทร์เพ็ญเท่านั้น มักเป็นวันขึ้น 15 ค่ำและมีโอกาสเกิดในวันขึ้น 14 ค่ำได้ด้วย แต่มีโอกาสน้อยมาก แต่บางครั้งอาจเป็นแรม 1 ค่ำก็ได้ โดยเฉพาะถ้าขึ้นจันทรุปราคาในช่วงหัวค่ำ ส่วนสุริยุปราคา มักจะเกิดในวันจันทร์ดับ แต่ในบางครั้งเกิดในวันถัดไปก็ได้ โดยเฉพาะหากเกิดช่วงเช้า วันเกิดสุริยุปราคามักตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ หรือวันแรมสุดท้ายของเดือน
ข้อมูลจากhttp://th.wikipedia.org/wiki
การเกิดดิถี

ภาพแสดงการเกิดดิถีของดวงจันทร์ โดยที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์โคจรรอบโลก ภาพที่เห็นอยู่นี้มองลงไปยังขั้วโลกเหนือ แสงอาทิตย์มาทางขวาดังแสดงเป็นลูกศรสีเหลือง จากภาพจะเห็นได้ว่า ในวันเดือนเพ็ญ ดวงจันทร์จะขึ้นตอนดวงอาทิตย์ตก และในวันเดือนดับ จะไม่สามารถสังเกตเห็นดวงจันทร์ได้ เพราะถูกแสงอาทิตย์บดบังดิถีเกิดจากการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก ขณะที่โคจรทั้งรอบโลกและรอบดวงอาทิตย์ ก็จะมีส่วนสว่างที่เกิดจากแสงของดวงอาทิตย์ โดยที่ส่วนสว่างของดวงจันทร์ที่หันเข้าหาโลกมีไม่เท่ากันเนื่องจากตำแหน่งรอบโลกที่ต่างกัน จนเกิดการเว้าแหว่งไปบ้าง และเกิดเป็นข้างขึ้นข้างแรม โดยที่มีคาบของการเกิดประมาณ 29.53 วัน (29 วัน 12 ชั่วโมง 44 นาที) เรียกระยะนี้ว่า เดือนจันทรคติ (synodic month) ซึ่งยาวกว่าเดือนดาราคติ (sidereal month) ไปประมาณ 2 วัน

บางครั้ง อาจเกิดสุริยุปราคาได้เมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่มาในตำแหน่งที่บังแสงจากดวงอาทิตย์ เมื่อเทียบกับผู้สังเกตบนโลก ซึ่งจะเกิดในวันเดือนดับ และอาจเกิดจันทรุปราคาได้เมื่อดวงจันทร์มาอยู่ในเงาของโลก ซึ่งเกิดในวันเดือนเพ็ญ ทั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงดิถีของดวงจันทร์

ในซีกโลกเหนือ ถ้าเราหันหน้าลงทิศใต้ ดวงจันทร์จะแสดงส่วนสว่างด้านทิศตะวันตกก่อนในข้างขึ้น จากนั้นจะค่อย ๆ แสดงส่วนสว่างมากขึ้น และจากนั้นก็ลดส่วนสว่างจากด้านทิศตะวันตกไปจนหมด ส่วนในซีกโลกใต้ ถ้าหันหน้าขึ้นทิศเหนือ ทิศทางก็จะเป็นไปในทางกลับกัน นั่นคือ ดวงจันทร์จะแสดงด้านทิศตะวันออกก่อนในข้างขึ้น และเผยส่วนทิศตะวันตกออก

[แก้] ดิถีในปฏิทินไทย
ปฏิทินที่เราใช้กันทุกวันนี้มักจะบอกข้างขึ้นข้างแรมไว้ นั่นคือสิ่งที่บอกดิถี โดยเฉพาะปฏิทินแบบไทยผสมจีนจะบอกไว้ทุกวัน เช่น ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันตรุษไทย-วันเปลี่ยนปีนักษัตรตามหลักโหราศาสตร์ไทย การบอกดิถีในปฏิทินหรือบอกทั่ว ๆ ไปนั้นพบได้สองแบบ ได้แก่

แบบธรรมดา โดยบอกข้างขึ้นหรือข้างแรม ตามด้วยจำนวนวันที่ผ่านจากจุดเปลี่ยนข้างขึ้นข้างแรม และเดือนจันทรคติ เช่น ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6, ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
แบบไทยเดิม โดยบอกวันในสัปดาห์ ตามด้วยดิถี และเดือน เช่น วันเสาร์ ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 เขียนได้ดังนี้ ๗ ๑ฯ ๕ หรือวันอาทิตย์ แรม 15 ค่ำ เดือน 6 เขียนได้ดังนี้ ๑ ๑๕ ฯ ๖
นั่นคือ การบอกดิถีตามแบบไทย จะบอกวันก่อน จากนั้นตามด้วยวันขึ้นหรือแรมกี่ค่ำ โดยวางเครื่องหมายไปยาลน้อย (ฯ) หรือเครื่องหมายบวก (+) ไว้ด้านบนตัวเลข กรณีข้างแรม และวางไว้ด้านล่างกรณีข้างขึ้น ตามด้วยเดือน (อาจตามด้วยปีนักษัตร และจุลศักราชก็ได้)

[แก้] การคำนวณดิถี
การคำนวณดิถี เป็นการทำให้เราทราบว่าวันทางจันทรคติจะเป็นเช่นใด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือให้ทราบถึงข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์นั่นเอง การคำนวณนั้นมีทั้งแบบดาราศาสตร์สากลและแบบไทย ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปนี้
แบบดาราศาสตร์
สูตรคำนวณที่ใช้มีมากมายหลายสูตร แต่สูตรที่จะกล่าวถึงในที่นี้ เป็นสูตรโดยคร่าว และไม่ยากนักสำหรับการนำไปใช้งาน

(((JD-2454000.98958)/29.530588*4000) mod 4000)/1000
mod-หารเอาแต่เศษ
โดยที่ JD เป็นวันจูเลียน (หรือหรคุณจูเลียน) นั่นคือจำนวนวัน ที่นับจากวันที่ 1 มกราคม ก่อนคริสต์ศักราช 4713 ปี เวลา 12 นาฬิกา 0 นาที 0 วินาที จนถึงวันที่ต้องการหา โดยหาได้จากสูตรดังต่อไปนี้

ให้ month-เดือน day-วันที่ year-ปี ค.ศ. floor-ปัดเศษ JD-หรคุณจูเลียน
ถ้า month <= 2 แล้ว
year = year-1
month =month+ 12

A = floor (year/100)
B = 2 - A + floor (A/4)

JD = floor (365.25* (year + 4716)) + floor (30.6001* (month+1)) + day + B - 1524.5

ภาพเคลื่อนไหวแสดงดิถีของดวงจันทร์ที่เปลี่ยนแปลงไป เทียบกับเวลาจากนั้นให้พิจารณาผลการคำนวณที่ได้กับตารางนี้ แล้วดูผลการคำนวณ

ตารางผลการคำนวณ เกณฑ์ ผลที่ได้
<0.25
<0.75
<1.25
<1.75
<2.25
<2.75
<3.25
<3.75

ถ้าจะหาร้อยละของส่วนสว่างบนดวงจันทร์ ให้หาได้จากสูตรนี้

floor (((((JD-2454000.98958)/29.530588*4000) mod 4000)/1000) *50)
(ถ้าผลการคำนวณตอนแรกน้อยกว่า 2)
floor ((4- ((((JD-2454000.98958)/29.530588*4000) mod 4000)/1000)) *50)
(ถ้าผลการคำนวณตอนแรกมากกว่าหรือเท่ากับ 2)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ค่าที่คำนวณได้ในที่นี้ หมายถึงดิถีที่เกิดบนท้องฟ้าโดยตรง หรือดิถีตามความหมายทางดาราศาสตร์
ข้อมูลจากhttp://th.wikipedia.org/wiki

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เรือนชะตาจันทร์

เรือนชะตาจันทร์
ทั่วไป

โหราศาสตร์สุริยคติอาศัยมูลฐานการโคจรของดวงอาทิตย์เป็นหลัก คือดวงสุริยคติแบ่งออกเป็น12 เรือนหรือ12ราศี อาทิตย์โคจรรอบจักราศีซึ่งมี1วงรอบเท่ากับ360องศาหรือเท่ากับ21,600ลิปดาหรือ1,296,000ฟิลิปดาหนึ่ง เดือนสุริยคติเท่ากับ30.4380312วัน ซึ่งโหราศาสตร์สุริยคติจะแบ่งประเภทของมนุษย์ออกเป็น12 พวก12ความหมายตามจักราศี ส่วนโหราศาสตร์จันทรคติก็จะอาศัยการโคจรของดวงจันทร์เป็นหลักเช่นเดียวกันคือดวงจันทร์โคจร1 วงรอบเท่ากับ360องศา หนึ่งเดือนจันทรคติเท่ากับ 29.5320588วัน(ดิถีมาศ)และในโหราศาสตร์จันทรคติจะจัดแบ่งมนุษย์ออกเป็น28พวก28ประเภทตามนักษัตร์ฤกษ์ เพราะจักราศีจันทรคติแบ่งรวิมรรคละเอียดมากว่ากว่าจักราศีสุริยคติถึง2เท่าตัวเพราะฉนั้นจึงมีรายละเอียดมากกว่า ถึงแม้ว่าดวงจันทร์จะเป็นบริวารของโลกตามธรรมชาติ แต่ความที่เป็นดาวที่ใกล้โลกมากที่สุดในจักรวาล จนทำให้มองดูเหมือนจะใหญ่เท่ากับดวงอาทิตย์ หรือบางครั้งจะบังดวงอาทิตย์จนมืดมิดคือวันสุริยคราส ดังนั้นความมีอิทธิพลต่อโลกจึงไม่น้อยไปกว่าอิทธิพลของดวงอาทิตย์ ดังอุปมาว่ามนุษย์คือโลก หัวใจของมนุษย์เทียบกับโลก ดังนั้นดวงจันทร์เทียบกับการหมุนเวียนของเม็ดโลหิตแดง อาทิตย์เทียบกับเม็ดโลหิตขาว ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเทียบกับวันและเดือนทางจันทรคติจะไปตรงหรือเทียบกับการหมุนเวียนของเม็ดโลหิตแดง 1 รอบหัวใจจะเต้น 28 ครั้ง ส่วนเม็ดโลหิตขาวจะเต้นช้ากว่า10 – 12 เท่าจึงนำไปเทียบกับทางสุริยคติ อย่างไรก็ตามอิทธิพลของจักราศีจันทรคติ จะมีอิทธิพลตามวงรอบเหมือกับจักราศีสุริยคติคือมีการเริ่มต้นและสิ้นสุดไปเช่นเดียวกัน แต่จักราศีจันทรคติจะให้อิทธิพลไปในทางด้านในมากกว่ามากกว่าด้านนอกเหมือนกับจิตกับกาย จิตคือจันทร์ กายคืออาทิตย์ จิตจึงสังเกตเห็นได้ยาก ดังนั้นจักราศีจันทรคติจึงมีความละเอียดอ่อน เวลานำไปใช้ต้องสังเคราะห์ให้ดีๆ



การพยากรณ์แบบจันทรคติเบื้องต้นแบบสายนะหรือโหราศาสตร์สากลวิธีคำนวณ
ถ้าเกิดข้างขึ้น คิดจากตำแหน่งจุดอมวสี ที่ผ่านมา

ถ้าเกิดข้างแรมคิดจากตำแหน่งจุดอมาวสีข้างหน้า(ที่จะมาถึง)


สูตร สมผุสจันทร์กำเนิด – สมผุสอมาวสี

ตัวอย่าง จันทร์กำเนิด 26องศา ราศีมกร ข้างแรม อมาวสีข้างหน้าคือจันทร์13องศาราศีพฤษภ

สมผุสจันทร์กำเนิดคือ296 องศา –สมผุสอมวสี43องศา เท่ากับ253องศา

ตั้งจุดอมาวสี(จุดดรรชนี28/1)จะตรงกับเรือนชะตาที่14

ตัวอย่าง จุดอมาวสี14มีน-จันทร์สถิต6เมษ=22องศาตกเรือนที่3



ความหมายของเรือนชะตาจันทร์28เรือน

(1).เรือนที่1(จาก 0 –8.30องศา) เป็นเรือนที่ไม่ดีที่สุด ในบรรดา28เรือนชะตาจันทร์จากวันอมาวสี เป็นวันไม่เหมาะในการทำกิจกรรมที่เป็นมงคลทุกชนิด

(2).เรือนที่2(8.30-17.30องศา)เป็นเรือนที่เหมาะกับสะสางปัดกวาดงานเก่าๆให้สำเร็จลุลวงไปได้ดี เรือนนี้มีความหมายเหมือนกับดาวพุธพักต์ คือควรเป็นช่วงวางแผนเตรียมการที่จะกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่เหมาะกับการเริ่มกระทำใดๆหรือเริ่มกิจการงานต่างๆทั้งสิ้น ถ้าหากมีการเจ็บป่วยช่วงนี้จะฟื้นไข้ได้เร็ว เด็กที่เกิดในเรือนนี้ ชีวิตวัยเด็กจะเจริญเติบโตแข็งแรงตามเกณฑ์

(3).เรือนที่3(17.30-27.00องศา) เป็นเรือนที่คล้ายกับเรือนที่2 ควรใช้ชีวิตแบบราบเรียบจะดีกว่า สถานะในสังคมไม่โดดเด่นนักเท่าใด

(4).เรือนที่4(27.00-37.00องศา)เป็นเรือนที่ต้องมีความอดทนอดกลั้น การหวังผลความสำเร็จต้องใช้เวลานาน คนที่มีจันทร์อยู่ในเรือนนี้ควรที่จะทำงานง่ายๆหรือสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุดชำนาญที่สุดจึงจะดี มีมนุษย์สัมพันธ์ดีเข้ากับผู้คนได้ดี ถ้าหากมีการเจ็บในช่วงนี้จะหายช้ารักษานาน ระวังถ้ามีเด็กกำเนิดในเรือนนี้อายุมักจะสั้นไม่ยืน มีโรคประจำตัวรักษายาก

(5).เรือนที่5(37.00-47.30องศา)เป็นเรือนที่เหมาะกับงานด้านทางไกลๆ งานก่อสร้างที่ต้องใช้เวลานาน ด้านน้ำด้านทะเล ตลอดจนค้นหาของหาย ควรระมัดระวังไม่ควรเจ็บป่วยในช่วงนี้อันตรายมาก เด็กที่เกิดในช่วงนี้มักจะเห็นแก่ตัวไร้น้ำใจ จองหองอวดดี ท่าทีมาดเยอะ

(6).เรือนที่6(47.30-58.30องศา)เป็นเรือนชะตาที่ไม่ดีควรหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะมักจะผิดหวังโดนหลอกลวงถูกหักหลังอยู่เสมอ ดังนั้นการคบมิตรหรือหุ้นส่วนทำธุกิจสิ่งใดควรหลีกเลี่ยงจันทร์ในเรือนนี้ การเจราจาช่วงนี้จะเกิดการวิวาทต่างๆนาๆ ถ้าเป็นจันทร์กำเนิดอยู่ในเรือนนี้จะเป็นคนปากเสียปากผ่อยพูดแบบไม่คิดก็จะก่อให้เกิดศัตรูโดยไม่รู้ตัว

(7).เรือนที่7(58.30-70.00องศา)เป็นเรือนที่ให้คุณกับเรื่องโภคทรัพย์ ด้านการพนันขันต่อ พ่อแม่ให้การสนับสนุน มีมิตรสหายที่ดีคอยช่วยเหลือ จะประสพความสำเร็จก็ต่อเมื่อมีการทุ่มเทแรงใจกับงานนั้นๆอย่างหนักหน่วง แต่เป็นเรือนที่ไม่ดีเกี่ยวกับสุขภาพ ร่างกายอ่อนแอถ้าเป็นเด็กจะมีชีวิตอยู่ได้ต้องได้รับการอนุบาลอย่างหนักเช่นเดียวกัน

(8).เรือนที่8(70.00-82.00องศา)เป็นเรือนที่ดีมากเรือนหนึ่งเป็นเรือนมหาสิทธิโชค ให้ความสำเร็จประสพโชคดีเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านการงานและชีวิตส่วนตัว สุขภาพแข็งแรง รักครอบครัวมีความสุขในชีวิตสมรส เป็นคนที่มีจิตใจงดงาม ถ้าหากเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นในช่วงนี้ก็จะไม่มีภัยอันตรายทั้งสิ้น

(9).เรือนที่9(82.00-94.30องศา)เป็นเรือนที่ไม่ดี การกระทำในทางที่ไม่ดีในเรือนนี้จะส่งผลร้ายต่อผู้กระทำ ถูกลงโทษอย่างสาสม เป็นเรือนที่ให้คุณทางด้านสุขภาพ มีกำลังวังชาดีแต่ร่างกายอ่อนแอต่อเชื้อโรคต่างๆให้ระวังโรคติดต่อชนิดต่างๆ

(10).เรือนที่10(94.30-107.30องศา)เป็นเรือนที่ไม่เหมาะกับกิจการการงานที่สำคัญควรยกเว้น มีความทุกข์หนักจากเพศตรงกันข้าม ชีวิตมีอุปสรรค์อย่างหนักเหมือนกับชะตากรรมรังแก บิดาคือสาเหตุแห่งความยุ่งยาก ชีวิตในบั้นปลายไม่ค่อยดีนัก ระวังอันตรายจากการเจ็บป่วยในช่วงนี้ จะกระทำกิจการใดต้องมีความมานะอดทนอย่างหนักมากกว่าผู้อื่นเท่าตัวจึงจะสำเร็จ

(11).เรือนที่11(107.30-121.00องศา)เป็นเรือนที่ต้องระวังในการให้ฤกษ์เกี่ยวกับการสมรสเพราะเป็นฤกษ์ที่ทำให้ภรรยาหรือสะใภ้ต้องทะเลาะเบาะเว้งกับพ่อแม่ของสามี จันทร์ดีในเรื่องความมีอายุยืน โรคภัยที่เป็นช่วงนี้เริ่มแรกอาการน่าเป็นห่วงต้องรอเวลาจึงจะค่อยๆทุเลา

(12).เรือนที่12(121.00-135.00องศา)เป็นเรือนชะตาที่ให้คุณทางด้านโชคลาภและความสุข เหมาะกับการเริ่มรับตำแหน่งหรือดำเนินกิจกรรมต่างๆ และเหมาะกับการริเริ่มหรือเริ่มต้นในการแก้ไขสถานะการณ์และปัญหาต่างๆที่ขัดแย้ง เป็นผู้ที่ชอบการท่องเที่ยวในที่ต่างๆ หากมีโรคภัยเกิดขึ้นในช่วงนี้ให้รีบรักษาแต่เนิ่นๆเพราะจะกำเริบมีภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

(13).เรือนที่13(135.00-149.30องศา)เป็นเรือนที่เหมาะแก่การเดินทางไปในที่ต่างๆ เป็นเรือนทีก่อให้เกิดความเฉลียวฉลาดมีความสามารถ ให้คุณกับชีวิตคู่ สุขภาพดีเฉพาะเจ้าชะตาผู้ชายเท่านั้น ดังนั้นถ้าเจ้าชะตาที่เป็นหญิงให้ระมัดระวังการเจ็บป่วยที่มีอันตรายมาก ผู้เกิดในเรือนที่จันทร์สถิตในเรือนนี้อาจจะประสพเหตุการณ์ร้ายในบางขณะ ควรที่จะตรวจดวงชะตากำเนิดและจรว่าปัจจัยใดส่งผลในช่วงนั้นๆแต่โดยทั่วไปชะตาชีวิตมักจะประสพโชคลาภและมีความสุขอยู่เนืองๆ

(14).เรือนที่14(เป็นเรือนที่กว้าง44.30องศาเริ่มจาก149.30องศาถึง180องศาวันจันทร์เพ็ญหรือปูรณมี)เป็นเรือนที่ควรงดกิจกรรมใดๆทั้งสิ้นที่เป็นมงคล เป็นเรือนที่หมายถึงการสูญสิ้นสิ่งหนักๆในชีวิตทั้งด้านตำแหน่งและฐานะ การเจ็บป่วยใดๆในช่วงนี้จะหายช้ามากและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

(15).เรือนที่15(เป็นเรือนที่กว้าง44.30องศาเริ่มจากวันจันทร์เพ็ญหรือวันปูรณมีถึง149.30องศาจากอมาวสีถัดไปหรือจาก180องศาไป44.30องศา)เป็นเรือนที่มีแต่ความยุ่งยากลำบากไม่ค่อยมีความสุข มีอารมณ์ฉุนเฉียวเจ้าอารมณ์ มีปัญหา ด้านสายตา สุขภาพร่างกายพอปานกลาง ฐานะไม่โดดเด่นมีการสูญเสียอยู่เสมอ

16.เรือนที่16(149.30 – 135องศาจากอมาวสีข้างหน้า) บุคคลที่เกิดในเรือนมุมนี้จะเป็นคนร่ำรวยจากการขยันขันแข็งในทำงาน ฝ่าฟันต่อสู้จนสู่ความสำเร็จ เมื่อวัยเด็กหรือช่วงวัยต้นไม่สู้ดีหนักจะสุขสบายก็ต่อเมื่อวัยเข้าสู่ช่วงหลังของชีวิต การเจ็บป่วยใดในช่วงนี้จะนำพาสู่ความอันตรายอย่างยิ่งต่อการใช้เวลานานที่จะทำการรักษา

17.เรือนที่17(135 – 121องศาจากอมาวสีข้างหน้า)บุคคลที่เกิดในเรือนมุมนี้จะมีผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ได้รับการสนับสนุน เป็นเรือนที่ให้คุณเกี่ยวกับชีวิตรัก มีการเดินทางบ่อยในชีวิต ใจดี มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ชีวิตสามารถผ่านอุปสรรค์ต่างๆนาๆและผ่านการทดสอบที่สำคัญในชีวิตได้ดี จันทร์ในเรือนนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งต่อการริเริ่มการงานใหม่ๆใดทั้งสิ้น

18.เรือนที่18(121 – 107.30องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่เหมาะแก่การดำเนินกิจการต่างๆ การเจ็บป่วยใดในช่วงนี้จะก่อให้เกิดการเรื้อรังรักษาหายขาดยาก เด็กที่เกิดในเรือนชะตาจันทร์นี้เป็นคนหัวดื้อเจ้าเล่ห์เพทุบาย มักจะมีแผนอยู่ในใจ

19.เรือนที่19(107.30 – 94.30องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่มีอิทธิพลทำให้เกิดความขยันขันแข็ง มีมานะอดทนสูง ได้รับการสนับสนุนค้ำชูเป็นที่โปรดปราณของผู้บังคับบัญชา เป็นเรือนที่ไม่ให้คุณทางด้านโชคลาภความร่ำรวยและการเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งสิ้น ทำให้เกิดความยากจนด้านการเงินการทอง

20.เรือนที่20(94.30 – 82.00องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่ให้คุณทางด้านการปฏิบัติการงานด้วยตัวเองจึงจะก้าวหน้า แต่ถ้าหากมีการริเริ่มการงานใดๆในช่วงนี้แล้วจะไม่ให้คุณใดๆทั้งสิ้นจะเกิดอุปสรรค์อยู่เสมอ และมักจะมีอุปสรรค์ความไม่ราบรื่นทั้งในครอบครัวปัจจุบันและในครอบครัวกำเนิดด้วย โดยเฉพาะครอบครัวกำเนิด(พ่อแม่)มักจะมีปัญหาก่อเกิดจากมารดาทั้งสิ้น

21.เรือนที่21(82.00 –70.00องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่ต้องเผชิญอุปสรรค์มีชะตากรรมที่หนักหน่วง มีการเสื่อมเสียจากความผิดพลาดของมิตรสหาย ดังนั้นไม่ควรค้ำประกันให้กับเพื่อนในกิจกรรมใดๆทั้งสิ้น ตนเองมักจะเจ็บไข้ได้ป่วยมีโรคเรื้อรัง แต่ถ้าหากมีการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นในช่วงนี้ไม่มีอันตรายแต่ต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างยาวนาน

22.เรือนที่22(70.00 – 58.30องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่ให้คุณให้โชคทางด้านธุรกิจการงาน ธุรกิจให้ผลสำเร็จจนกระทั้งเกิดความร่ำรวยสมบูรณ์พูนทรัพย์ แต่เจ้าชะตากลับเป็นคนชอบหึงหวงและขี้อิจฉาริษยาในเรื่องความรัก การเจ็บไข้ได้ป่วยในช่วงนี้ไม่น่าเป็นห่วง

23.เรือนที่23(58.30 – 47.30องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เรือนนี้เป็นเรือนที่ให้โทษที่รุนแรงควรหลีกเลี่ยงยิ่งถ้ามีการเจ็บไข้แล้วอันตรายมาก ได้รับทุกข์อย่างมากจากการหลอกลวงและการโจรกรรม

24.เรือนที่24(47.30 – 37.00องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่เหมาะกับการมีกิจกรรมที่ไม่เปิดเผยถ้าหากมีการเปิดเผยก่อนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ความสัมพันธ์ใดๆที่เกิดขึ้นมักจะไม่จริงใจ เหตุการณ์ที่จะก่อเกิดผลไปในทางดีและมีการเดินทางก็ต่อเมื่อมีอายุ40ปี การเจ็บป่วยใดๆที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ก่อให้เกิดภัยอันตรายถึงชีวิตจนตายได้

25.เรือนที่25(37.00 – 27.00องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่เหมาะกับการข้นย้าย ย้ายที่อยู่ การเดินทางใดๆทั้งสิ้น เหมาะกับการเริ่มทำงานที่ไม่สำคัญมากนักหรืองานเงียบๆเล็ก บุคคลที่เกิดในเรือนชะตาจันทร์นี้จะเป็นคนเกียจค้าน สะเพร่า

26.เรือนที่26(27.00 – 17.30องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่ให้โทษด้านการสูญเสียมรดกและทรัพย์สิน การฟ้องร้องใดๆที่เกี่ยวกับพินัยกรรมด้านมรดกให้หลีกเลี่ยง แต่ดีทางด้านเชาน์ไวไหวพริบและการมีอัธยาศัยที่ดี

27.เรือนที่27(17.30 – 8.30องศาจากอมาวสีข้างหน้า)เป็นเรือนที่ไม่เหมาะกับงานมงคลสมรสและในดวงชะตาเพศหญิงแล้วเรือนนี้ให้โทษโดยตรง ชีวิตในช่วงหลังมีโชคน้อยกว่าช่วงชีวิตวัยแรก และขณะช่วงที่จันทร์โคจรอยู่ในเรือนนี้ควรยกเว้นงานมงคลใดๆทั้งสิ้น

28.เรือนที่28(8.30องศาถึงอมาวสี) เป็นเรือนที่ควรยกเว้นงานมงคลใดๆทั้งสิ้นเช่นเดียวกับเรือนที่1เป็นเรือนที่เลวเช่นกัน

สรุป การใช้เรือนชะตานี้เหมาะกับการวงฤกษ์ โดยใช้การคำนวณดวงแบบสายนะหรือใช้สมผุสของดาวแบบโหราศาสตร์สากล ซึ่งอัตราการโคจรของจันทร์ในข้างขึ้นจะเพิ่มในอัตราละ30ลิปดาต่อวัน ส่วนข้างแรมอัตราการโคจรของจันทร์จะลดลงในอัตราละ30ลิปดาต่อวันเช่นกัน

การใช้เรือนชะตาจันทร์นี้ควรจะมีจาน เรือนชะตาจันทร์ ถ้าหากเป็นจานคำนวณ360องศาให้ใช้จุดจันทร์หรือจุดเมอริเดียนหรือจุด0 องศากรกฏเป็นจุดเริ่มต้นเรือนที่1เวียนซ้ายไปตามองศาของแต่ละเขตเรือนเช่นเรือนที่1เวียนซ้ายไปจนถึง8.30องศาก็เข้าเขตเรือนที่2ไปเรื่อยๆจนถึงเรือนที่28 แต่ถ้าจะให้ง่ายและสะดวกในวงการโหราศาสตร์ยูเรเนียนบ้านเรามีอาจารย์วิโรจน์ กรดนิยมชัยได้พัฒนาจาน360องศาสามารถใช้กิจกรรมด้านโหราศาสตร์ยูเรเนียนและเรือนชะตาจันทร์ในบนจานเดียวกันมีจำหน่ายที่ร้านลุงมี และสั่งซื้อโดยตรงที่ www.astroclassical.com หรือที่ห้องสมุดSky Clockช้างคลานพลาซ่า จ.เชียงใหม่แล้วแต่ตามสะดวกครับ



นายทรงยศ รัศมีพงศ์

ชมรมSky Clockฯ

Jan : 01: 2007

ที่มาhttp://www.astroclassical.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=412208

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Astrology tipโหราศาสตร์สากลว่าเรื่องดวงสมพงศ์

Astrology Tip โหราศาสตร์สากล
เมื่อมีคนมาดูดวงถามเรื่องสามี ให้ตรวจดูอาทิตย์ในระบบเรือนชะตาแบบสากล
สามีรวย ในดวงหญิงดาวพฤหัสอยู่หน้าอาทิตย์
เสาร์อยู่หน้าอาทิตย์ สามีจะร่ำรวยทางด้าน ที่ดิน
มีดวงเลิกกันอาทิตย์โคจรไปสู่มฤตยู แสดงว่าเจอกันโดยบังเอิญ ไม่คิดว่าจะได้กัน แต่ไม่นานก็ไป
อาทิตย์กับมฤตยูเล็งกัน ก็มีสิทธิแยกทางเปลี่ยนคู่โดยเด็ดขาด เบื่อหน่ายเร็ว
อาทิตย์กุมมฤตยู มีสิทธิหัวใจวาย สามีอาจจะเป็นโรคหัวใจ ตกใจง่าย
เสาร์กุมอาทิตย์แปลว่าสามีแก่ แต่สุดท้ายก็แยกทางกัน
จันทร์แปลว่าเมียในดวงชายถ้ากุมเสาร์ เมียขี้บ่น เจ้าทุกข์ แม่ม่าย
ในดวงสมพงศ์ ถ้าจันทร์อีกดวงหนึ่งกุมกับเสาร์อีกดวงหนึ่ง หมายถึงมีการพลัดพรากเกิดขึ้น
อาทิตย์อีกดวงหนึ่งเล็งเสาร์อีกดวงหนึ่ง แต่งงานกันช้า แต่สุดท้ายก็เลิกรากันไป
ดวงที่ต้องเลิกถ้าอีกดวงมี
เสาร์เล็งเสาร์ จันทร์เล็งเสาร์ เล็งมฤตยู ศุกร์เล็งหรือกุมเสาร์ อาจจะเป็นดวงจรโปรเกรส องศาอายุ ทินวรรษแม้กระทั้งดวงประจำไตรมาสหรือดวงฤดูกาลและจันทร์ดับ ดวงเหล่านี้จะเป็นการแสดงผลว่าเริ่มเกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อไร
ศุกร์กับมฤตยูอาจจะเป็นเรื่องรักผิดเพศ

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553